tag:blogger.com,1999:blog-39536902244213025942024-03-13T14:11:27.902-07:00mouylovemomwarapornhttp://www.blogger.com/profile/15194443051005009915noreply@blogger.comBlogger8125tag:blogger.com,1999:blog-3953690224421302594.post-54582937104721377402011-01-19T19:07:00.001-08:002011-01-19T19:07:56.479-08:00<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TTem8EQm5vI/AAAAAAAAAC4/fNeLBDjjZG8/s1600/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25871.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="http://1.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TTem8EQm5vI/AAAAAAAAAC4/fNeLBDjjZG8/s320/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25871.JPG" width="320" /></a></div><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TTem9XSuunI/AAAAAAAAAC8/RMlkEwkLB4I/s1600/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25872.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="http://3.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TTem9XSuunI/AAAAAAAAAC8/RMlkEwkLB4I/s320/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25872.JPG" width="320" /></a></div><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TTem-SP7SuI/AAAAAAAAADA/RTnDb_231nk/s1600/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25873.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="http://4.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TTem-SP7SuI/AAAAAAAAADA/RTnDb_231nk/s320/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25873.JPG" width="320" /></a></div>warapornhttp://www.blogger.com/profile/15194443051005009915noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3953690224421302594.post-2379015099219239472010-09-01T18:39:00.000-07:002010-10-28T18:49:13.162-07:00บทที่ 3 พัฒนาการคอมพิวเตอร์<h2 align="center"><span style="color: #9900ff; font-size: medium;">เรื่อง พัฒนาการคอมพิวเตอร์</span></h2><div align="center"><span style="color: #9900ff;"><b>1.</b></span><span style="color: #9900ff; font-size: small;"><b>ความหมายและความเป็นมา</b></span></div><table align="center" border="1" style="width: 460px;"><tbody>
<tr><td width="218"><img border="0" height="122" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/Abacus-3.jpg" width="160" /></td><td width="226"><div align="center"><img border="0" height="122" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/system1.gif" width="100" /></div></td></tr>
</tbody></table>เมื่อพิจารณาศัพท์คำว่า <b><span style="color: #9900ff;">คอมพิวเตอร์</span></b> ถ้าแปลกันตรงตัวตามคำภาษาอังกฤษ จะหมายถึงเครื่องคำนวณ ดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้าง ๆ เครื่องคำนวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสิ้น <span style="color: #9900ff;"><b>ลูกคิด </b></span>ที่เคยใช้กันในร้านค้า ไม้บรรทัด คำนวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประจำตัววิศวกรในยุคยี่สิบปีก่อน หรือเครื่องคิดเลข ล้วนเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งหมด<br />
ในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึงเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์<br />
การจำแนกคอมพิวเตอร์ตามลักษณะวิธีการทำงานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์อาจแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ<br />
1.แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ (analog computer)<br />
2.ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (digital computer)<br />
<span style="color: #9900ff;"><i>แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ (analog computer)</i></span> เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ใช้ค่าตัวเลขเป็นหลักของการคำนวณ แต่จะใช้ค่าระดับแรงดันไฟฟ้าแทน ไม้บรรทัดคำนวณ อาจถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ค่าตัวเลขตามแนวความยาวไม้บรรทัดเป็นหลักของการคำนวณ โดยไม้บรรทัดคำนวณจะมีขีดตัวเลขกำกับอยู่ เมื่อไม้บรรทัดหลายอันมรประกบรวมกัน การคำนวณผล เช่น การคูณ จะเป็นการเลื่อนไม้บรรทัดหนึ่งไปตรงตามตัวเลขของตัวตั้งและตัวคูณของขีดตัวเลขชุดหนึ่ง แล้วไปอ่านผลคูณของขีดตัวเลขอีกชุดหนึ่งแอนะล็อกคอมพิวเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์จะใช้หลักการทำนองเดียวกัน โดยแรงดันไฟฟ้าจะแทนขีดตัวเลขตามแนวยาวของไม้บรรทัด<br />
แอนะล็อกคอมพิวเตอร์จะมีลักษณะเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แยกส่วนทำหน้าที่เป็นตัวกระทำและเป็นฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ จึงเหมาะสำหรับงานคำนวณทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่อยู่ในรูปของสมการคณิตศาสตร์ เช่น การจำลองการบิน การศึกษาการสั่งสะเทือนของตึกเนื่องจากแผ่นดินไหว ข้อมูลตัวแปรนำเข้าอาจเป็นอุณหภูมิความเร็วหรือความดันอากาศ ซึ่งจะต้องแปลงให้เป็นค่าแรงดันไฟฟ้า เพื่อนำเข้าแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นแรงดันไฟฟ้าแปรกับเวลาซึ่งต้องแปลงกลับไปเป็นค่าของตัวแปรที่กำลังศึกษา ในปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นแอนะล็อกคอมพิวเตอร์เท่าไรนักเพราะผลการคำนวณมีความละเอียดน้อย ทำให้มีขีดจำกัดใช้ได้กับงานเฉพาะบางอย่างเท่านั้น<br />
<span style="color: #9900ff;"><i>ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (digital computer) </i></span>คอมพิวเตอร์ที่พบเห็นทั่วไปในปัจจุบัน จัดเป็นดิจิทัลคอมพิวเตอร์แทบทั้งหมด ดิจิทัลคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานเกี่ยวกับตัวเลข มีหลักการคำนวณที่ไม่ใช่แบบไม้บรรทัดคำนวณ แต่เป็นแบบลูกคิด โดยแต่และหลักของลูกคิดคือ หลักหน่วย หลักร้อย และสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นระบบเลขฐานสินที่แทนตัวเลขจากศูนย์ถ้าเก้าไปสิบตัวตามระบบตัวเลขที่ใช้ในชีวิตประจำวัน<br />
ค่าตัวเลขของการคำนวณในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะแสดงเป็นหลักเช่นเดียวกัน แต่จะเป็นระบบเลขฐานสองที่มีสัญลักษณ์ตัวเลขเพียงสองตัว คือเลขศูนย์กับเลขหนึ่งเท่านั้น โดยสัญลักษณ์ตัวเลขทั้งสองตัวนี้ จะแทนลักษณะการทำงานภายในซึ่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ต่างกัน การคำนวณภายในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะเป็นการประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสองทั้งหมด ดังนั้นเลขฐานสิบที่เราใช้และคุ้นเคยจะถูกแปลงไปเป็นระบบเลขฐานสองเพื่อการคำนวณภายในคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเลขฐานสองอยู่ ซึ่งคอมพิวเตอร์จะแปลงเป็นเลขฐานสิบเพื่อแสดงผลให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย<br />
<div align="center"><span style="color: #9900ff; font-size: small;"><b>2.จากอดีตสู่ปัจจุบัน</b></span></div><table align="center" border="1" style="width: 865px;"><tbody>
<tr><td width="241"><div align="center"><img border="0" height="287" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/edvac.gif" width="241" /></div></td><td width="608"><div align="left"> พัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีทางด้าน คอมพิวเตอร์ เมื่อ 50 ปีที่แล้วมา มีคอมพิวเตอร์<br />
ขึ้นใช้งาน ต่อมาเกิดระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย และมีแนวโน้ม<br />
การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เราสามารถแบ่งพัฒนาการคอมพิวเตอร์จากอดีตสู่ปัจจุบัน<br />
สามารถแบ่งเป็นยุคก่อนการใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิคส์ และยุคที่เครื่องคอมพิวเตอร์เป็น<br />
อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิคส์</div></td></tr>
</tbody></table><div align="center">2.เครื่องคำนวณในยุคประวัติศาสตร์</div><table align="center" border="1" style="width: 864px;"><tbody>
<tr><td width="326"><div align="center"><img border="0" height="116" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/Abacus.gif" width="204" /></div></td><td width="522">เครื่องคำนวณเครื่องแรกของโลก ได้แก่ ลูกคิด มีการใช้ลูกคิดในหมู่ชาวจีน<br />
มากกว่า 7000 ปี และใช้ในอียิปต์โบราณมากกว่า 2500 ปี ลูกคิดของชาวจีน<br />
ประกอบด้วยลูกปัดร้อยอยู่ในราวเป็นแถวตามแนวตั้ง โดยแต่ละแถวแบ่งเป็น<br />
ครึ่งบนและล่าง ครึ่งบนมีลูกปัด 2 ลูก ครึ่งล่างมีลูกปัด 5 ลูก แต่ละแถวแทน<br />
หลักของตัวเลขเครื่องคำนวณกลไกที่รู้จักกันดี ได้แก่ เครื่องคำนวณของ<br />
ปาสคาลเป็นเครื่องที่บวกลบด้วยกลไกเฟืองที่ขบต่อกัน เบลส ปาสคาล<br />
(Blaise Pascal) นักคณิตศาสาตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ประดิษฐ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2185</td></tr>
<tr><td width="326"><div align="center"><img border="0" height="167" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/picture2.gif" width="326" /></div></td><td width="522">ต่อมาในปี พ.ศ. 2337 กอดฟริด ฟอนไลบ์นิช (Gottfried von Leibniz)<br />
ชาวเยอรมันได้ประดิษฐ์เครื่องคำนวณที่มีขีดความสามารถสูงสามารถ<br />
คูณและหารได้บุคคลผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการผลิตเครื่องจักรคำนวณ<br />
คือ ชาร์ลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ. 2343<br />
เขาประสบความสำเร็จสร้างเครื่องคำนวณ ที่เรียกว่า Difference engine</td></tr>
<tr><td width="326"><div align="center"><img border="0" height="219" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/picture3.gif" width="263" /></div></td><td width="522">ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 ฮอลเลอริชได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิต<br />
จำหน่ายเครื่องจักรช่วยในการคำนวณ ชื่อ บริษัท คอมพิวติง เทบบูลาติง<br />
เรดคอสดิง หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2467 ได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อบริษัทไอบีเอ็ม<br />
(International Business Machine : IBM)</td></tr>
</tbody></table><div align="center">3.คอมพิวเตอร์ยุคหลอดสูญญากาศ (พ.ศ. 2488-2501)</div><table align="center" border="1" style="width: 861px;"><tbody>
<tr><td width="319"><img border="0" height="230" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/eniac.gif" width="319" /></td><td width="526">ในปี พ.ศ. 2486 วิศวกรสองคน คือ จอห์น มอชลี (John Mouchly) และ<br />
เจ เพรสเปอร์ เอ็ดเคิร์ท (J.Presper Eckert) ได้พัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์<br />
และจัดได้ว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วไปเครื่องแรกของโลก<br />
ชื่อว่า อินิแอค (Electronic Numerical Intergrator And Calculator : ENIAC)</td></tr>
<tr><td width="319"><img border="0" height="173" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/neumann.gif" width="212" /></td><td width="526">ในปี พ.ศ. 2488 จอห์น วอน นอยแมน (John Von Neumann) ได้เสนอ<br />
แนวคิดในการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยความจำ เพื่อใช้เก็บ<br />
ข้อมูลและโปรแกรมการทำงานหรือชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร<br />
์จะทำงานโดยเรียกชุดคำสั่งที่เก็บไว้ในหน่วยความจำมาทำงาน<br />
หลักการนี้เป็นหลักการที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน</td></tr>
</tbody></table><div align="center">4.คอมพิวเตอร์ยุคทรานซิสเตอร์ (พ.ศ.2500-2507)</div><table align="center" border="1" style="width: 855px;"><tbody>
<tr><td width="185"><img border="0" height="267" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/transistor.jpg" width="185" /></td><td width="654">นักวิทยาศาสตร์ของห้องปฏิบัติการเบลแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์สำเร็จ<br />
ซึ่งมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการสร้างคอมพิวเตอร์ เพราะทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็ก<br />
ใช้กระแสไฟฟ้าน้อย มีความคงทนและเชื่อถือได้สูง และราคาถูก ได้มีการผลิตคอมพิวเตอร<br />
์เรียกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์<br />
สำหรับประเทศไทยมีการนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในยุคนี้ พ.ศ. 2507 โดยจุฬาลงกรณ<br />
มหาวิทยาลัยนำเข้ามาใช้ในการศึกษา ในระยะเวลาเดียวกันสำนักงานสถิติแห่งชาติก็นำมา<br />
เพื่อใช้ในการคำนวณสำมะโนประชากร นับเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ในประเทศไทย</td></tr>
</tbody></table><br />
<div align="center">5.คอมพิวเตอร์ยุควงจรรวม (พ.ศ.2508-2512)</div><table align="center" border="1" style="width: 853px;"><tbody>
<tr><td width="186"><div align="center"><img border="0" height="113" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/ic.jpg" width="186" /></div><div align="center"><br />
</div><div align="center"><img border="0" height="144" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/ic3.jpg" width="145" /></div><div align="center"><img border="0" height="100" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/jc2.jpg" width="150" /></div><div align="center"><br />
</div></td><td width="651">ประมาณปี พ.ศ. 2508 ได้มีการพัฒนาสร้างทรานซิสเตอร์จำนวนมากลงบนแผ่นซิลิกอน<br />
ขนาดเล็ก และเกิดวงจรรวมบนแผ่นซิลิกอนที่เรียกว่า ไอซี การใช้ไอซีเป็นส่วนประกอบ<br />
ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง ราคาถูกลง จึงมีบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น<br />
คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กลง เรียกว่า "มินิคอมพิวเตอร์"</td></tr>
</tbody></table><br />
<div align="center">6.คอมพิวเตอร์ยุควีแอลเอสไอ (พ.ศ.2513-2532)</div><table align="center" border="1" style="width: 863px;"><tbody>
<tr><td width="292"><img border="0" height="145" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/p55c.gif" width="292" /><br />
<img border="0" height="131" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/palmtop.gif" width="193" /></td><td width="555">เทคโนโลยีทางด้านการผลิตวงจรอิเล็กทรอนิคส์ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง<br />
มีการสร้างวงจรรวมที่มีขนาดใหญ่มารวมในแผ่นซิลิกอน เรียกว่า วีแอลเอสไอ<br />
(Very Large Scale Intergrated circuit : VLSI) เป็นวงจรรวมที่รวมเอา<br />
ทรานซิสเตอร์จำนวนล้านตัวมารวมอยู่ในแผ่นซิลิกอนขนาดเล็ก และผลิต<br />
เป็นหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน เรียกว่า ไมโครโปรเซสเซอร์<br />
(microprocessor)<br />
การใช้ VLSI เป็นวงจรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ประสิทธิภาพของ<br />
เครื่องคอมพิวเตอร์สูงขึ้น เรียกว่า ไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องที่<br />
แพร่หลายและมีผู้ใช้งานกันทั่วโลก การที่คอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูง<br />
เพราะ VLSI เพียงชิพเดียวสามารถสร้างเป็นหน่วยประมวลผลของเครื่อง<br />
ทั้งระบบหรือเป็นหน่วยความจำที่มีความจุสูงหรือเป็นอุปกรณ์ควบคุม<br />
การทำงานต่าง ๆ ขณะเดียวกันพัฒนาของฮาร์ดดิสก์ก็มีขนาดเล็กลง<br />
แต่ราคาถูกลง เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จึงมีขนาดเล็กลงปาล์มทอป<br />
(palm top) โน็ตบุ๊ค (Notebook)</td></tr>
</tbody></table><div align="center">7.คอมพิวเตอร์ยุคเครือข่าย (พ.ศ.2533-ปัจจุบัน)</div><table align="center" border="1" style="width: 860px;"><tbody>
<tr><td width="250"><img border="0" height="257" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/office.gif" width="250" /></td><td width="594">เมื่อไมโครคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูงขึ้น ทำงานได้เร็ว การแสดงผล<br />
การจัดการข้อมูล สามารถประมวลได้ครั้งละมาก ๆ จึงทำให้คอมพิวเตอร์สามารถ<br />
ทำงานหลายงานพร้อมกัน (multitasking) ขณะเดียวกันก็มีการเชื่อมโยงเครือข่าย<br />
คอมพิวเตอร์ในองค์การโดยใช้เครือข่ายท้องถิ่นที่เรียกว่า Local Area Network : LAN<br />
เมื่อเชื่อมหลายๆ กลุ่มขององค์การเข้าด้วยกันเกิดเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของ<br />
องค์การ เรียกว่า อินทราเน็ต และหากนำเครือข่ายขององค์การเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่าย<br />
สากลที่ต่อเชื่อมกันทั่วโลก เรียกว่า อินเตอร์เน็ต (internet)<br />
คอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันจึงเป็นคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกัน ทำงานร่วมกัน ส่งเอกสาร<br />
ข้อความระหว่างกัน สามารถประมวลผลรูปภาพ เสียง และวิดีทัศน์ ไมโครคอมพิวเตอร์<br />
ในยุคนี้จึงทำงานกับสื่อหลายชนิดที่เรียกว่าสื่อประสม (Multimedia)</td></tr>
</tbody></table><br />
<div align="center"><span style="color: #9900ff; font-size: small;"><b>3.วิวัฒนาการคอมพิวเตอร์</b></span></div><span style="color: #9900ff; font-size: medium;"><b>คอมพิวเตอร์ยุคแรก</b></span><br />
<div align="left">อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)</div><table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 449px;"><tbody>
<tr><td height="254" width="331"><div align="center"><img border="0" height="214" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/mark1.gif" width="270" /></div></td><td height="254" width="118"><div align="center"><span style="color: #9900ff; font-size: large;"><b>มาร์ค I</b></span></div></td></tr>
<tr><td height="215" width="331"><div align="center"><img border="0" height="194" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/eniac.gif" width="269" /></div></td><td height="215" width="118"><div align="center"><span style="color: #9900ff; font-size: large;"><b>อินิแอค</b></span></div></td></tr>
<tr><td height="246" width="331"><div align="center"><img border="0" height="213" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/univac.gif" width="270" /></div></td><td height="246" width="118"><div align="center"><span style="color: #9900ff; font-size: large;"><b>ยูนิแวค</b></span></div></td></tr>
</tbody></table><span style="color: #9900ff; font-size: medium;"><b>คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง</b></span><br />
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน<br />
<br />
<span style="color: #9900ff; font-size: medium;"><b>คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม</b></span><br />
คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง<br />
<div align="center"><span style="color: #9900ff;"><img border="0" height="182" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/ic.jpg" width="300" /> </span></div><div align="center"><img border="0" height="100" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/jc2.jpg" width="150" /></div><br />
<span style="color: #9900ff; font-size: medium;"><b>คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่</b></span><br />
คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง<br />
<div align="center"><img border="0" height="174" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/notebook2.gif" width="201" /></div><b><span style="color: #9900ff; font-size: medium;">คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า</span></b><br />
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง<br />
<div align="center"><span style="color: #9900ff;"> <img border="0" height="122" src="http://ns2.nawama.ac.th/chonlatee/image/system1.gif" width="100" /></span><br />
<div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" style="color: #9900ff;">ลิงค์งาน</span></div><div style="text-align: left;"><span class="Apple-style-span" style="color: #9900ff;">http://www.mediafire.com/?2eofs3vswymmbke</span><br />
<span class="Apple-style-span" style="color: #9900ff;"><br />
</span><br />
<span class="Apple-style-span" style="color: #9900ff;">http://www.mediafire.com/?rjp8xv4qw2ktrch#2</span></div></div>warapornhttp://www.blogger.com/profile/15194443051005009915noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3953690224421302594.post-66935546821121759112010-08-25T19:23:00.000-07:002010-08-25T19:23:34.024-07:00[MV] เพลงรัก - KAMIKAZE<object style="background-image:url(http://i4.ytimg.com/vi/g_tYmksxMTA/hqdefault.jpg)" width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/g_tYmksxMTA?fs=1&hl=en_US"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/g_tYmksxMTA?fs=1&hl=en_US" width="425" height="344" allowscriptaccess="never" allowfullscreen="true" wmode="transparent" type="application/x-shockwave-flash"></embed></object>warapornhttp://www.blogger.com/profile/15194443051005009915noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3953690224421302594.post-2484435567441565962010-08-25T19:05:00.000-07:002010-08-25T19:05:54.030-07:00พิมพ์ชื่อนักเรียนเป็นเลขฐานสอง พิมพ์เด็กเก่งเป็นเลขฐานสองว = 11000111<br />
ร = 11000011<br />
า = 11010010<br />
พ = 10111110<br />
ร = 11000011<br />
ส = 11001010<br />
ุ = 11011000<br />
ว = 11000111<br />
ิ = 11010100<br />
ก = 10100001<br />
ร = 11000011<br />
า = 11010010<br />
น = 10111001<br />
ต = 10110101<br />
์ = 11101100<br />
<br />
<br />
<br />
เ = 11100000<br />
ด = 11011010<br />
็ = 11100111<br />
ก = 10100001<br />
เ = 10100001<br />
ก = 10100001<br />
่ = 11101000<br />
ง = 10100111<br />
แ = 11100001<br />
ล = 11000101<br />
ะ = 11010000<br />
ด = 11011010<br />
ี = 11010101warapornhttp://www.blogger.com/profile/15194443051005009915noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3953690224421302594.post-13071742070604925582010-08-21T21:33:00.000-07:002010-08-21T21:33:55.572-07:00ต่อ<span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">2.6วิธีการประมวลผล</span></span><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">1.การประมวลผลแบบเชื่อมตรง</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">2.การประมวลผลแบบกลุ่ม</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">2.7การจัดการสารสนเทศ</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">1.การเก็บรวบรวมข้อมูล</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">2.การรตรวจสอบข้อมูล</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">3.การรวบรวมเป็นแฟ้มข้อมูล</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">4.การจัดเรียงข้อมูล</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">5.การคำนวณ</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">6.การทำรายงาน</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">7.การจัดเก็บ</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">8.การทำสำเนา</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">9.การแจกจ่ายและสื่อสารข้อมูล</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">2.8การแทนข้อมูล</span></span></div><div><span class="Apple-style-span" style="font-family: Arial; font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 13px;">2.9แฟ้มข้อมูล</span></span></div><div><br />
<br />
</div>warapornhttp://www.blogger.com/profile/15194443051005009915noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3953690224421302594.post-75778337685917550522010-08-21T21:17:00.001-07:002010-08-21T21:21:38.703-07:00บทที่ 22.3ส่วนประกอบของสารสนเทศ<br />
1.บุคลากร<br />
2.ขั้นตอนการปฏิบิงาน<br />
3.ฮารด์แวร์<br />
4ซอฟต์แวร์<br />
5ข้อมูล<br />
2.4ประเภทของข้อมูล<br />
1.ข้อมูลปฐมภูมิ<br />
2.ข้อมูลทุติยภูมิ<br />
2.5การประมวลผลข้อมูล คือ การนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์warapornhttp://www.blogger.com/profile/15194443051005009915noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3953690224421302594.post-5300083799910269672010-08-21T21:00:00.000-07:002010-09-15T19:06:09.056-07:00งานบทที่ 2<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/THXY5rUYVvI/AAAAAAAAABU/JWJ1kbD8aI0/s1600/Album1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="http://2.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/THXY5rUYVvI/AAAAAAAAABU/JWJ1kbD8aI0/s320/Album1.jpg" width="320" /></a><a href="http://4.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TIhDWA9xiiI/AAAAAAAAABs/y23S4Ykr7Pw/s1600/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TIhDWA9xiiI/AAAAAAAAABs/y23S4Ykr7Pw/s320/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81.jpg" /></a><a href="http://2.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TIhDgJsX-eI/AAAAAAAAAB0/bGoS5S4INqk/s1600/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%81%E0%B8%88.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="318" src="http://2.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TIhDgJsX-eI/AAAAAAAAAB0/bGoS5S4INqk/s320/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%81%E0%B8%88.jpg" width="320" /></a><a href="http://4.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TJF7fe1PB3I/AAAAAAAAAB8/_QmYEL_DSZ8/s1600/%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%8A%E0%B8%B0.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/_cFsPJO7cqzE/TJF7fe1PB3I/AAAAAAAAAB8/_QmYEL_DSZ8/s320/%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%8A%E0%B8%B0.jpg" /></a></div>บทที่ 2 สารสนเทศ<br />
2.1 ข้อมูลสารสนเทศ<br />
1.ข้อมูล(data)คือข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของสิ่งที่เราสนใจ<br />
2.สารสนเทศ(information)คือข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้<br />
2.2ระบบสารสนเทศ<br />
1.สารสานเทศ(informmation systme :IS)คือการดำเนินงานตามขั้นตอนปฏิบัติงาน<br />
1.1สารสนเทศที่ทำประจำ<br />
1.2สารสนเทศที่ทำตามกฏหมาย<br />
1.3สารสนเทศที่ได้รับมอบหมายให้จัดทำขึ้นโดยเฉพาะwarapornhttp://www.blogger.com/profile/15194443051005009915noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3953690224421302594.post-31534405319632713372010-08-18T19:13:00.000-07:002010-08-18T19:13:11.828-07:00เด็กหญิงวราพร สุวิกรานต์ ม. 1/13 เลขที่ 34เด็กหญิงวราพร สุวิกรานต์ ม.1/13 เลขที่ 34warapornhttp://www.blogger.com/profile/15194443051005009915noreply@blogger.com0